กลุ่ม KP
พัฒนาเกษตรเจริญ
โทร 080-2241788, 089-8123402 แฟกซ์ 02-2710197
ความเป็นมาของการวิจัยและการทดลองปุ๋ยจุลินทรีย์
คณะนักวิจัยคนไทยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องปุ๋ยจุลินทรีย์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะให้ได้ปุ๋ยชนิดใหม่ ที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อทดแทนปุ๋ยเคมี (ปุ๋ยเคมี) หมักและปุ๋ย (ปุ๋ยอินทรีย์ประกอบด้วย)
คุณสมบัติที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อให้ได้ปุ๋ยชนิดใหม่นี้คือให้ได้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารต่างๆ แก่พืชครบทุกธาตุเท่าที่จะทำได้ลดปริมาณการใช้ต่อหน่วยพื้นที่ให้น้อยลง สนับสนุนการลดต้นทุนปัจจัยในการผลิตทางการเกษตร รักษาระดับปริมาณผลผลิตต่อขนาดพื้นที่ไว้ให้คงที่หรือสูงขึ้น ให้ได้ปุ๋ยที่มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา สามารถปรับสภาพของดินที่เสื่อมโทรมอันเกิดจากธรรมชาติ
เนื่องจากการใช้พื้นที่ทางการเกษตรมาเป็นเวลานานหรือการใช้ปุ๋ยเคมีเกินขนาดและสามารถปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างในดินให้เป็นพื้นที่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรมได้ใหม่อีกครั้ง คณะนักวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาถึงอิทธิพลของ ต่างๆจุลินทรีย์ชนิด พืชที่มีต่อ ได้พบว่าจุลินทรีย์บางชนิดที่ได้รับการกระตุ้นให้มีการเจริญหรือมีกิจกรรมสูงในบริเวณรากพืชจะมีอิทธิพลต่อพืช ทั้งในทางที่เป็นคุณและเป็นโทษเช่นทำให้ธาตุบางธาตุในดินละลายออกมาเป็นอาหารพืชมากขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ
ช่วยการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ช่วยให้พืชมีการผลิตสารสังเคราะห์ การเจริญเติบโต สาร เช่น Indoleacetic กรด หรือ IAA ซึ่งเป็นกรดชนิดหนึ่งที่สังเคราะห์ขึ้นโดยจุลินทรีย์ทำให้รากเป็นปมใช้เป็นที่สะสมไนโตรเจนหรือ Auxins ๆอื่น ต่างๆอันได้แก่ฮอร์โมนชนิด ของพืชที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชนั่นเอง
และยังผลิตสารปฎิชีวนะทำให้จุลินทรีย์ที่เป็นเหตุของโรคพืชถูกกำจัดหรือลดกิจกรรมลงกิจกรรมของจุลินทรีย์เหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อพืชทั้งนั้นส่วนกิจกรรมที่เป็นโทษต่อพืชนั้นเกิดขึ้นเช่นกันคือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการสูญเสียธาตุอาหารพืช
การใช้ออกซิเจนโดยจุลินทรีย์ขณะที่มีการเจริญ และการสังเคราะห์สารปฎิชีวนะบางชนิด ที่มีผลต่อคุณสมบัติทางสรีระของพืช กิจกรรมเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้เช่นกันแต่สรุปแล้วการกระตุ้นการเจริญหรือกิจกรรมต่างๆของจุลินทรีย์ในบริเวณรากพืชนั้นก่อให้เกิดผลดีต่อการเจริญเติบโตของพืช
จากการศึกษาถึงกิจกรรมต่างๆของจุลินทรีย์ที่มีคุณและโทษต่อพืชแล้วจึงได้คัดเลือกจุลินทรีย์เฉพาะชนิด และ สายพันธุ์ ต่างๆที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อพืชมาทำการทดลองผลิตปุ๋ยชนิดใหม่ขึ้น โดยอาศัยกิจกรรมของจุลินทรีย์ย่อยสลายหิน และแร่ธาตุต่างๆในดินและวัสดุที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยจุลินทรีย์ให้เป็นธาตุอาหารพืช
ผลการทดลองพบว่าปุ๋ยชนิดใหม่นี้มีคุณสมบัติตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยอีกทั้งยังมีคุณสมบัติผสมผสานข้อดีของปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมักไว้ด้วยกันและขณะเดียวกันจะช่วยขจัดปัญหาข้อเสียของปุ๋ยทั้งสองชนิดออก
จากการทดลองอย่างต่อเนื่องในพืชเกษตรเป็นเวลาหลายปี พบว่าหินและแร่ธาตุต่างๆ จะถูกย่อยสลายเป็นธาตุอาหารพืช และสะสมไว้เป็นทวีคูณในดินและบริเวณรากพืช ธาตุอาหารพืชที่สะสมอยู่นี้ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมครบทุกธาตุ และจุลินทรีย์เองจะกระตุ้นให้พืชเร่งดูดอาหารไปเลี้ยงต้นพืชเพิ่มมากขึ้น
จึงเป็นการลดการสูญเสียและเพิ่มคุณประโยชน์ของแร่ธาตุต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่สูงขึ้นและยังพบว่าจุลินทรีย์บาง สายพันธุ์ ยังสามารถสังเคราะห์สารปฎิชีวนะบางชนิดให้เป็นประโยชน์ต่อพืชในการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งโรคและแมลง
จุลินทรีย์การวิเคราะห์คุณภาพปุ๋ย
จากการส่งมอบตัวอย่างปุ๋ยจุลินทรีย์ดังกล่าว เคมีกับกองเกษตร เกษตรกรมวิชาการ เกษตรและสหกรณ์กระทรวง ได้ผลการวิเคราะห์ดังต่อไปนี้
N
|
3,89 %
|
P
|
10,78 %
|
K
|
4,99 %
|
Ca
|
10,23 %
|
มิลลิกรัม
|
2,36 %
|
S
|
4,32 %
|
FE
|
2,65 %
|
Mn
|
0,10 %
|
Zn
|
0,057 %
|
B
|
0,039 %
|
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
|
0,028 %
|
Mo ทีมงานฝ่าย
|
0,0012 %
|
Cl
|
2,83 %
|
|
|
|
|
C / N
|
(คาร์บอนเนเจอร์) 1: 1
|
Na
|
(โซเดียม) 2,61 %
|
O.M
|
8,00 %
|
ตารางเปรียบเทียบค่าธาตุอาหารของปุ๋ยจุลินทรีย์กับความต้องการของพืช
ลำดับ
|
องค์ประกอบ (อาหารธาตุ)
|
ค่าที่ได้รับ (%)
|
ความต้องการของพืช (%)
|
1
|
N - ไนโตรเจน (หลัก)
|
3,89
|
0.02-0.05
|
2
|
P - ฟอสฟอรัส (หลัก)
|
10,78
|
0.02-0.04
|
3
|
K - โปแตสเชี่ยม (หลัก)
|
4,99
|
0,02 -- 0,04
|
4
|
Ca - แคลเชี่ยม (รอง)
|
10,23
|
0.10-5.0
|
5
|
มิลลิกรัม - แมกนีเชี่ยม (รอง)
|
2,36
|
0.02 -- 2.50
|
6
|
S - กำมะถัน (รอง)
|
4,32
|
0,02 -- 0,50
|
7
|
FE - เหล็ก (เสริม)
|
2,65
|
0,05 -- 5.00
|
8
|
Mn - แมกนีเชี่ยม (เสริม)
|
0,10
|
0,02 -- 1.00
|
9
|
Zn - สังกะสี (เสริม)
|
0,057
|
0,001 - 0.025
|
10
|
B - โบรอน (เสริม)
|
0,039
|
0.0005-0.015
|
11
|
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ทองแดง (เสริม)
|
0,028
|
0.0005-0.015
|
12
|
Mo ทีมงานฝ่าย - โมลิปดินั่ม (เสริม)
|
0,0012
|
0.00002-0.0005
|
13
|
Cl - คลอรีน (เสริม)
|
2,83
|
0.001-0,100
|
14
|
C / N - เนเจอร์คาร์บอน (ทางอากาศ)
|
1: 1
|
--
|
15
|
Na - โซเดียม (น้ำทาง)
|
2,61
|
--
|
16
|
O.M - อากาศทาง
|
8,00
|
--
|
17
|
อันดับ = การไม่ - ตรวจสอบ
|
--
|
--
|
หมายเหตุ จากตารางนี้แสดงให้เห็นว่าค่าธาตุอาหารของปุ๋ยจุลินทรีย์ มีปริมาณมากเกินกว่าความต้องการ
ของ มากพืชเป็นอย่าง
การเปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์กับปุ๋ยเคมี
คุณภาพของปุ๋ยจุลินทรีย์เมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมีทั่วไปแล้ว คุณภาพบางอย่างอาจคล้ายกันเนื่องจากวัตถุดิบ (วัตถุดิบ) ที่ใช้ในการผลิตมีธาตุอาหารหลักพวกเดียวกันคือ N, P, K แต่ปุ๋ยจุลินทรีย์มีธาตุอาหารรอง เสริมธาตุอาหาร หลายและจุลินทรีย์ จำพวก หลาย สายพันธุ์ อีกผสมเพิ่มเข้าไป ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อคุณสมบัติทางกายภาพของดินและสร้างความสมดุลย์ในดินอันเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์
และจากการวิเคราะห์ปรากฎว่าผลที่ได้รับทั้งธาตุอาหารหลักธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม จุลินทรีย์จะทำกิจกรรมเป็นตัวแปรทำให้ธาตุอาหารต่างๆดังกล่าวมากเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นพืช ดังนั้นวิธีการใช้จึงไม่ต้องผ่านขั้นตอนหรือกรรมวิธีต่างๆ ไปเหมือนปุ๋ยเคมีทั่วๆ
พบว่ากิจกรรมของจุลินทรีย์จะปรับความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้คงสภาพเป็นกลางและเพิ่มความสมบูรณ์ของดินให้คงสภาพดีอยู่ตลอดเมื่อย้อนถึงอดีตก่อนยุคน้ำแข็ง
และจากการศึกษาทางธรณีวิทยาได้พบหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของต้นพืชในยุคนั้น ปาล์มเช่นพืชตระกูล เฟิร์นหรือพวก ซึ่งพบว่ามีรูปลำต้นและสรีระอื่นๆ ใหญ่โตกว่าที่ปรากฎในยุคปัจจุบัน สันนิษฐานว่าคงได้รับอิทธิพลจากกิจกรรมของจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน
จุลินทรีย์ปุ๋ย ที่อาศัยลอกเลียนแบบธรรมชาติจากอดีตคือระบบนิเวศวิทยา ของสิ่งมีชีวิตระหว่างพืชและจุลินทรีย์ สรุปแล้วปุ๋ยจุลินทรีย์ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อสิ่งแวดล้อมหลังใช้กลับจะทำให้ระบบนิเวศวิทยาดีขึ้นอันจะส่งผลให้สภาพแวดล้อมและสมดุลย์ทางธรรมชาติคงสภาพดีตลอดไป
จุดเด่นที่สำคัญของปุ๋ยจุลินทรีย์
1. ถึงมีจุลินทรีย์มาก 200 พันธุ์สาย
2. ดินประสานโครงสร้างของ
3. ให้ธาตุอาหารหลักธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมแก่พืชทุกชนิด
4. ปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้เป็นกลาง
5. ช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศและช่วยย่อยสลายธาตุอาหารต่างๆสะสมไว้ในดิน
6. ฮอร์โมนเพิ่ม วิตามิน และ การเจริญเติบโต ปัจจัย ต่างๆ
7. ปรับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน ยิ่งใช้ไปนานจะลดปริมาณการใช้น้อยลง
8. เพิ่มปริมาณและคุณภาพการผลิตพืชทุกชนิด
9. สร้างภูมิต้านทานต่อแมลงศัตรูพืชหลายชนิด
10. ส่งเสริมความสมดุลย์ทางธรรมชาติและระบบนิเวศน์วิทยาทั้งบนดินและในน้ำ
11. ย่อยสลายสารเคมีจากย่าฆ่าแมลงบางชนิดที่ตกค้าง โดยทำปฏิกิริยาชีวะเคมีให้กลายสภาพเป็นธาตุอาหาร นั้นแก่พืชผลเหล่า
12. สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานถึง 5 ปี
13. คนไม่มีผลกระทบต่อ สัตว์ พืชและ เนื่องจากเป็นธาตุอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติกว่า 90%
14. สามารถใช้แทนปุ๋ยเคมีได้ 100% โดยไม่ต้องจำสูตรให้สับสนและผลผลิตไม่ลดลง
ตารางเปรียบเทียบระหว่างปุ๋ยจุลินทรีย์กับปุ๋ยเคมี
ดินที่ใช้กับปุ๋ยจุลินทรีย์
|
ดินที่ใช้กับปุ๋ยเคมี
|
-- ปุ๋ยจุลินทรีย์จะปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น ชาวนาเรียกดินที่ใช้กับปุ๋ยจุลินทรีย์ว่า "ดินเป็น" เพราะดินจะอ่อนนุ่ม
|
-- ไม่สามารถปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินได้ทำให้ดินแข็งกระด้างคุณภาพของดินเสื่อมลง
|
-- ไม่พบว่าปุ๋ยจุลินทรีย์ทำให้ดินเป็นกรดหรือด่างหรือมีสารพิษตกค้างในดิน
|
-- ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีดินทำให้ดินเปรี้ยวเมื่อใช้ไปนานๆทำให้ดินเป็นกรดมีสารเคมีตกค้างในดินเนื่องจากสารเคมีย่อยสลายไม่หมด
|
-- พบว่าปุ๋ยจุลินทรีย์ยิ่งใช้นานไปยิ่งเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับดินสังเกตได้จากการใช้จะลดปริมาณลงเรื่อยๆถ้าใช้เกิน 5 ครั้งครั้งต่อไปใช้ครั้งละ 20% ของอัตราที่เคยใช้ก็พอเพียงกล่าวคือวัตถุดิบที่ใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์มีขนาดใหญ่คือ 10-200 ตาข่าย น้ำไม่อาจชะล้างหรือละลายได้ทันทีธาตุที่ย่อยสลายส่วนหนึ่งต้นพืชจะดูดซึมเป็นอาหารส่วนหนึ่งจะเป็นอาหารจุลินทรีย์และบางส่วนสะสมไว้ในบริเวณรากพืช
|
-- พบว่าเนื่องจากปุ๋ยเคมีมีสารเคมีย่อยสลายไม่หมดตกค้างในดินและเพิ่มความเป็นกรดในดินทำให้ดินเป็นดานแข็งอาหารธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อพืชถูกตรึงไว้ในดานแข็งพืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้ดังนั้นจึงต้องเพิ่มปริมาณปุ๋ยเคมีขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อให้เพียงพอต่อความเจริญเติบโตของต้นพืช
|
-- พบว่าดินที่ใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์มากกว่า 2 ครั้งดินจะร่วนซุยอุ้มน้ำสามารถใช้แรงคนลากไถพรวนดินได้ น้ำในบริเวณพื้นที่ทำเกษตรจะใส
|
-- พบว่าดินแห้งแข็งเป็นดานใช้จอบพรวนดินลำบากในบางพื้นที่ต้องใช้รถไถพรวนดินน้ำในบริเวณพื้นที่ทำการเกษตรจะขุ่น
|
-- พบว่าปุ๋ยจุลินทรีย์รักษาระดับความชื้นในดินให้สูงและสามารถตรึงไนโตรเจน (N) จากอากาศสะสมไว้ในดินและบริเวณรากพืช
|
-- ไม่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ทำให้ดินเป็นดานแข็งและแห้ง
|
ดินที่ใช้กับปุ๋ยจุลินทรีย์
|
ดินที่ใช้กับปุ๋ยเคมี
|
-- ปุ๋ยจุลินทรีย์ย่อยสลายธาตุอาหารต่างๆทั้งธาตุอาหารหลักธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมให้แก่ต้นพืชได้ครบทุกตัว และตัวจุลินทรีย์เองยังกระตุ้นเร่งให้ต้นพืชดูดธาตุอาหารให้ได้มากยิ่งขึ้นจึงเป็นเหตุให้มีการเพิ่มผลผลิตแบบต่อเนื่องเป็นเวลาอันยาวนานและปรากฎว่าพืชผลไม้บางชนิดให้ผลผลิตนอกฤดูกาล
|
-- ธาตุปุ๋ยเคมีให้ NPK ทำให้พืชได้รับธาตุอาหารหลักเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตตามฤดูกาล
|
-- เนื่องจากปุ๋ยจุลินทรีย์ย่อยสลายธาตุอาหารต่างๆทำให้พืชได้ครบทุกตัวเป็นเหตุให้ต้นพืชมีความแข็งแรงจุลินทรีย์บาง สายพันธุ์ สังเคราะห์สารปฏิชีวนะเป็นประโยชน์ต่อพืชทำให้พืชมีภูมิคุ้มกันต่อโรคและแมลง
|
-- ปุ๋ยเคมีไม่สร้างภูมิคุ้มกันให้ต้นพืชจำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลงแบบต่อเนื่อง
|
-- ปุ๋ยจุลินทรีย์เป็นปุ๋ยมีชีวิตจะย่อยสลายธาตุอาหารต่างๆให้เป็นอิสระพืชสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้โดยตรงและพบว่าในดินที่เสื่อมคุณภาพเนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีเกินขนาดหรือดินเสื่อมคุณภาพโดยธรรมชาติหรือมีความเป็นกรดเป็นด่างสูงจุลินทรีย์จะปรับคุณสมบัติทางกายภาพต่างๆของดินที่ไม่เหมาะสมเหล่านั้นให้มีคุณสมบัติเป็นกลางและมีคุณภาพดีขึ้นอีกครั้ง
|
-- ไม่ปรากฎในดินที่ใช้ปุ๋ยเคมี
|
-- พบว่าไร่นาสวนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติจะกลับคืนสู่ปรกติคือคืนสิ่งมีชีวิตเช่นปูปลากบเขียดหอยกลับคืนเข้ามาอาศัยอยู่เช่นเดินชาวนาปักดำไม่เกิดอาการแพ้
|
-- ชาวนาที่ปักดำในนาที่ใช้ปุ๋ยเคมีจะเกิดอาการแพ้คือมือเท้าคันหรือเน่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในนาข้าวลดจำนวนลง
|
|